[สยามฟุตบอล]

เรื่องตลกร้ายที่สุดจากศึกแดงที่ไม่เดือดค่ำคืนอังคารเป็นตอนผู้เล่นสองทีมเดินลงสนามในครึ่งหลังโดยตอนนั้นผู้ตัดสินมาร์ติน แอตกินสันกำลังมีปัญหากับอุปกรณ์ส่วนตัวจนกลับมาช้า ตอนนั้นเองที่นักเตะทีมเยือนมีเอาบอลมาส่งไปมาเพื่ออบอุ่นร่างกายทว่าทุกครั้งที่ผ่านบอลก็มีเสียงดังเฮดังขึ้นเป็นจังหวะจากเดอะ ค็อปทั้งสี่ทิศ

    คือมันเป็นการจงใจเย้ยหยันทีมคู่อริของเจ้าถิ่นหลังจากครึ่งแรกเป็นพวกเขาที่ไล่ขย่มฝ่ายเดียวดังนั้นจึงเอาซะหน่อยว่าในที่สุดก็ได้บอลไปครอบครองทำนองนั้น

    รอย คีนพูดขวานผ่าซากตามเคยในฐานะคอมเมนเตเตอร์ให้ช่องสกาย สปอร์ตส "นี่ไม่ใช่ทีมที่ผมเคยเล่นให้..."

    ขณะที่แกรี่ เนวิลล์ก็เช่นกันใส่ไม่ไว้หน้า "แมนฯยูไนเต็ดตามหลังลิเวอร์พูลหลายล้านไมล์ในทุกส่วนของสนาม"



    มันเป็นไปแล้วครับที่สองสโมสรที่ยิ่งใหญ่สุดของประเทศมีช่องว่างที่ห่างกันแบบเทียบกันไม่ได้ขนาดนี้ ก็สองเกมเหย้า-เยือนสกอร์รวมอ่านได้ว่า'LIVERPOOL 9 - MAN UTD 0'

    ก็ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกไม่มีทีมไหนที่ไล่ถลุงแชมเปี้ยน 20 สมัยได้ถึงเก้าลูกในซีซั่นเดียวเช่นนี้ เขียนเจาะลงไปทั้งสองเกมตลอด 180 นาทีก็เหมือนการลงซ้อมของสโมสรสีแดงจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ซะมากกว่า

    "Oh Manchester is full of shit" ดังขึ้นโดยมีต้นเสียงจากอัฒจันทร์ค็อป สแตนด์ในนาที 15ซึ่งตอนนั้นทีมของพวกเขาก็ออกนำไปเรียบร้อย

    ก็น่าคิดว่าเอริก เทน ฮากที่เชื่อว่าคงนั่งดูเกมนี้อยู่ที่บ้านจะคิดอย่างไรกับงานหนักที่รอเขาอยู่ในซัมเมอร์นี้? มันไม่ใช่แค่การมาปฎิรูปทีมแต่ต้องถึงขั้นปฎิวัติกับการผ่าตัดทีมที่มีผู้เล่นไม่ต่ำกว่าครึ่งโหลควรโดนโละทิ้ง



    สถิติอาจไม่ใช่ทุกอย่างของฟุตบอลทว่าอย่างน้อยก็สะท้อนอะไรได้บางอย่างของเกมนั้นๆ นี่คือเกมห่วยๆอีกครั้งของทีมแชมเปี้ยนส์ 20 สมัยเมื่อครองบอลได้แค่ 28%กับโอกาสที่ผลิตได้อีก 2 ครั้ง!!!

    ก็โอกาสแรกเลยต้องรอถึงนาที54จากตัวสำรองเจดอน ซานโช่โดยได้ยิงในเขตโทษแต่ลูกก็เบามากไหลไปเข้าซองอลิสซง

    อย่างหนึ่งที่หลายคนน่าจะเห็นด้วยก็คือต่อให้ในยุคที่หงส์ไม่ได้บินสูงเท่านี้ก็ไม่ได้ทำให้กองเชียร์ต้องเจ็บปวดเท่ากับทุกสิ่งที่ผู้เล่นผีแสดงออกบนผืนหญ้าสีเขียว ต่อให้แพ้ก็ยังแสดงถึงพาสชั่นบนความภูมิใจในเครื่องแบบที่ใส่ มีความทุ่มเทที่ต้องการจะสู้ให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ก็ตาม



    มีนักข่าวอาวุโสที่อยู่ในวงการข่าวมาเกือบหกทศวรรษบอกกับผมไว้หลังเกมว่า "นี่อาจเป็นยูไนเต็ดที่แย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาแม้แต่ทีมชุดที่ตกชั้นไปยุค70ก็ยังดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ยังทุ่มเทกว่านี้"

    ตลกแต่จริงที่แดงเดือดนัดแรกที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดผมก็ต้องมาละเลียดงานคล้ายกันแบบนี้ถึงความไม่เป็นโล้เป็นพายของอดีตยักษ์ใหญ่หมายเลขหนึ่ง ตอนนั้นเราก็ต่างพุ่งเป้าไปหาโอเล่ กุนนาร์ โซลชาว่าเป็นต้นเหตุและต้องโดนไล่ออกได้แล้ว

    อืมมมมม

    ผ่านมา 6 เดือนเศษก็กลายเป็นราล์ฟ รังนิกที่ตีใบหน้าบึ้งๆให้สัมภาษณ์ผ่านไมโครโฟน "มันน่าละอาย มันน่าผิดหวังและมันก็ดูไร้ความหวังใดๆสำหรับทีมชุดนี้ พวกเราต้องยอมรับว่าลิเวอร์พูลนำหน้าเราไปไม่ต่ำกว่า 6 ปีซึ่งให้เครดิตเยอร์เก้น คล็อปป์ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมได้ยอดเยี่ยม นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องมองดูเพื่อเอาอย่าง"



    ใช่ครับ ประโยคสุดท้ายแฟนผีฟังดูอาจไม่พอใจก็ได้ที่โค้ชตัวเองออกมาบอกให้ต้องก้าวตามรอยทีมคู่อริ เพียงแต่ความจริงก็เป็นความจริงว่าจุดเด่นของลิเวอร์พูลชุดนี้แทบไม่มีให้พบเลยจากแมนฯยูไนเต็ด

    เอาง่ายๆก็เริ่มจากส่วนบนของสโมสรก็ในตัวบอร์ดบริหาร

    ปีศาจแดงไม่มีลุ้นสักถ้วยพอถึงเดือนมีนาคม ตอนนี้ก็ได้แต่แอบภาวนาว่าอาร์เซน่อลกับสเปอร์สจะพลาดเพื่อให้ทีมมีโอกาสจบอันดับสี่ ก็ย้ายสายตาไปดูนกตัวนั้นได้ที่สยายปีกสง่างามเหนือน่านฟ้าบนเส้นทางกวาดสี่โทรฟี่

    ผมเคยเขียนไปแล้วว่า "มันเป็นไปได้'



    ต่อให้ดูยากหน่อยก็ตามเนื่องจาก 4 แชมป์ต้องอาศัยทุกปัจจัยเกื้อหนุนเข้าด้วยกันซึ่งก็ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ถึงกระนั้นใครที่ได้ดูทีมของคล็อปป์เล่นมาต่อเนื่องก็ย่อมมีความรู้สึกว่าเป็นไปได้ เกมเล่นไม่ดีก็ชนะ ขณะที่เกมไหนเล่นดีก็ไล่ต้อนคู่แข่งไม่ไว้หน้า

    นี่มันคาแรกเตอร์ของทีมที่จะประสบความสำเร็จ

    ถูกต้อง-ทุกอย่างช่างตรงข้ามกับสโมสรศัตรูคู่อาฆาตที่นาทีนี้ได้แต่ก้มหน้ารับความจริงเพราะสกอร์รวม9-0จะเป็นหนามที่ทิ่มตำพวกเขาไปอีกนาน

    นี่ไม่ใช่แดงเดือด

    นี่เป็นเกมอุ่นเครื่องที่ช่วยให้นักเตะลิเวอร์พูลมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการกลับมาทำประตูได้อีกครั้งของโม ซาล่าห์